9 November 2021
ขึ้นแท่นหนึ่งในหนังยอดเยี่ยมแห่งปีไปแล้วสำหรับ The Green Knight ผลงานล่าสุดของค่ายหนัง A24 ที่ยังคงสานต่อสร้างหนังคุณภาพและท้าทายผู้ชมออกมาอย่างไม่หยุด ล่าสุดคือการหยิบเอาบทกวีโบราณ (ซึ่งไม่ทราบด้วยว่าใครแต่ง) นำมาตีความใหม่ในรูปแบบภาพยนตร์ โดยได้ผู้กำกับคนคุ้นเคยของทางค่ายอย่าง เดวิด โลวอรี่ จาก A Ghost Story มาทำหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์รวมถึงกำกับ เล่าเรื่องราววีรกรรมความหาญกล้าของกาเวน หลานชายของกษัตริย์อาเธอร์ผู้ยังไม่เคยมีตำนานใด เฉกเช่นคุณอาหรือเหล่าอัศวินโต๊ะกลม นี่จึงเป็นตำนานบทแรกของชายผู้นี้ในฐานะอัศวิน ที่กำลังจะถูกเล่าขานในรูปแบบภาพยนตร์
The Green Knight เปิดเรื่องราวในยุคสมัยของคิงอาเธอร์ ในวันคริสต์มาส โดยมีตัวละครศูนย์กลางเรื่องคือ กาเวน (รับบทโดย เดฟ พาเทล) ชายผู้ใช้ชีวิตอย่างเสเพลและยังไม่เคยมีบทพิสูจน์ความหาญกล้าของตัวเขาเอง แต่โอกาสดังกล่าวก็ได้มาถึง เมื่อในค่ำคืนดังกล่าว "อัศวินมรกต" นักรบปริศนาในร่างสีเขียวยักษ์คล้ายอสูรได้ปรากฏตัวขึ้นในพระราชวังของคิงอาเธอร์ พร้อมเอ่ยคำท้า ให้ผู้กล้าคนใดก็ได้ ใช้ดาบบั่นคอเขาเสีย ปรากฏว่า กาเวน ขออาสารับคำท้า เขาได้บั่นคออัศวินมรกต แต่กลับเป็นที่ตกใจเพราะแม้คอจะขาด แต่อัศวินมรกตก็ไม่ได้เสียชีวิต พร้อมกับเอ่ยคำว่า อีก 1 ปีหลังจากนี้ ให้กาเวนเดินทางไปยังวิหารมรกต เพื่อเป็นฝ่ายถูกบั่นคอบ้าง และเพื่อพิสูจน์ความกล้าหาญ กาเวนจึงรักษาสัญญาต้องออกเดินทาง เผชิญกับทั้งโจร ภูติวิญญาณ และยักษ์ เพื่อมุ่งหน้าสู่วิหารมรกต โดยมีชีวิตของเขาเป็นเดิมพัน
แม้จะมีชื่อของ คิงอาเธอร์เข้ามาเกี่ยวข้อง และหน้าหนังจะเป็นหนังอัศวิน แต่ The Green Knight คือหนังอัศวินที่ไม่เหมือนใคร (และไม่ค่อยมีใครเหมือน) ด้วยแบรนด์ดิ้งปะหน้าอย่าง A24 จึงไม่แปลกใจเลยที่หนังจะมีความประณีตใตแง่ของงานสร้าง และแฝงไปด้วยแง่คิด รวมถึงการตีความในเส้นเรื่อง อารมณ์โดยรวมระหว่างดู The Green Knight เป็นความรู้สึกที่หลากหลาย แน่นอนว่าหนังเต็มไปด้วยความงดงาม ทั้งงานวิชวลที่แสดงออกมา ภาพที่ปรากฏบนจอ แต่ในขณะเดียวกันกลับชวนหลอนด้วยบรรยากาศของหนังที่ใส่ความดาร์กเข้ามาในโลกแฟนตาซีที่กาเวนต้องเผชิญ ทำให้ The Green Knight เป็นหนังที่เอกลักษณ์เฉพาะตัวค่อนข้างมาก (และไปในทางที่ดีมากๆด้วย)
แน่นอนว่าด้วยชื่อของ เดวิด โลเวอรี่ และค่าย A24 อาจจะทำให้ผู้ชมวงกว้างสะดุดว่า The Green Knight จะเล่าเรื่องชวนเหวอคล้ายผลงานชิ้นก่อนๆของพวกเขาหรือไม่ แต่กลับพบว่า The Green Knight ร้อยเรียงการเล่าเรื่องราวได้อย่างงดงาม ไหลลื่น และไม่ได้ต้องพยายามปีนบันไดดูมากเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าหลายฉากอาจทำให้ผู้ชมต้องครุ่นคิดตามถึงความหมายที่ผู้สร้างพยายามจะสื่อ แต่ในแง่เส้นเรื่องหลัก ขอใช้คำง่ายๆว่า ดูรู้เรื่องอย่างแน่นอน และผู้สร้างได้แฝง Message ไว้ในหลายระดับด้วยกัน เริ่มจากระดับบนสุดที่ไม่ต้องตีความก็เข้าใจได้ว่า The Green Knight พยายามจะสื่อถึงอะไร ด้วยการที่ตัวละครบอกเล่าประโยคเหล่านั้น ไปจนถึงระดับที่ต้องตีความ และเชิงสัญญะที่แฝงมาตลอดทั้งเรื่อง หลายฉากและหลายตัวละคร ทำให้หนังสามารถเข้าถึงผู้ชมได้ทั้งกลุ่มที่ดูเอาเส้นเรื่องหลัก และต้องการดูเพื่อวิเคราะห์ก็มีอะไรให้คิดตาม
นอกจากการเล่าเรื่องอย่างลื่นไหล สิ่งที่ขับเคลื่อนให้ The Green Knight ขึ้นแท่นหนังที่สมบูรณ์คืองานโปรดักชั่นเริ่มจากงานภาพ แต่ละซีนที่ปรากฏบนจอหนังสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า "งดงาม" ตลอดการผจญภัย เส้นทางของกาเวน เต็มไปด้วยฉากที่ทั้งสวย ชวนตื่นตา และวิชวลล้ำเลิศ แบบที่เราแทบจะไม่ได้เห็นในหนังแฟนตาซีหรือหนังอัศวินเรื่องไหนๆ เป็นงานศิลปะที่ควรค่าแต่การชมบนจอขนาดใหญ่อย่างแท้จริง หลายฉากที่สามารถพูดได้ว่าสวยจนแทบหยุดหายใจ รวมทั้งยังสื่ออารมณ์ของแต่ละฉากได้ดี ผสานกับดนตรีประกอบที่สื่ออารมณ์ได้อย่างพอเหมาะ The Green Knight คือหนังที่งานสร้างระดับมาสเตอร์พีซสมคำร่ำลือ
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งให้ The Green Knight ขึ้นแท่นหนังคุณภาพคือ ฝีมือการแสดงของเหล่านักแสดง แน่นอนว่าไฮไลต์หลักสุดคือ เดฟ พาเทล ที่เขาถ่ายทอดบทบาทกาเวนได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากเด็กหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์ รวบรวมความกล้าออกเดินทางเพื่อค้นหาเกียรติแห่งอัศวินในแบบของเขา เราจะค่อยๆเห็นถึงพัฒนาการของตัวละครนี้ ซึ่งเดฟถ่ายทอดออกมาได้ลงตัว เราเชื่ออย่างเต็มอกว่าเขาคือกาเวน ระหว่างดูไม่มีภาพอื่นของเดฟเข้ามาแทรกในหัวได้เลย และที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันคือ อลิเซีย วิกันเดอร์ ที่โชว์เหนือด้วยการรับบท 2 ตัวละคร เริ่มจากเอวเซล คนรักของกาเวนที่วัง และเดอะเลดี้ ตัวละครหญิงผู้สูงศักดิ์ที่ปรากฏตัวในช่วงครึ่งหลัง เป็นสองตัวละครที่รูปลักษณ์คล้ายกันแต่คาแร็คเตอร์กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง อลิเซียสร้างความแตกต่างให้ทั้งสองตัวได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ที่ขโมยซีนไปเต็มๆ คือ โจเอล เอดเจอร์ตัน ในบทท่านลอร์ด นักรบที่ปรากฏตัวช่วงหลัง แม้บทบาทของเขาจะไม่มากนัก แต่กลับเป็นตัวละครที่ทรงพลังและหนักแน่นอย่างไม่น่าเชื่อ
โดยรวม The Green Knight คือหนังแฟนตาซีผจญภัยที่ไม่เหมือนใคร ด้วยความเป็นค่าย A24 มันจึงไม่ได้เป็นหนังแอ็กชั่นสงครามบู๊ล้างผลาญ แต่มันคือหนังที่พาเราไปดูการเดินทางของกาเวน จากเด็กหนุ่มสู่อัศวินผู้กล้า ซึ่งสามารถตรึงเราได้อย่างดีเยี่ยมจากตั้งแต่จนจบ ด้วยการเล่าเรืิ่องที่ไหลลื่นดั่งบทกวี งานภาพที่ตระการตาดั่งงานศิลปะ การแสดงอันยอดเยี่ยมจากเหล่าทีมนักแสดง ทุกอย่างที่ปรากฏบนจอเล่าเป็นผลงานในระดับขึ้นหิ้ง แม้หนังพยายามจะสอดแทรกความหมายไว้มากมาย แต่ก็ไม่ทิ้งคนดูกลุ่มทั่วไป ทำให้ The Green Knight คือหนังคุณภาพเยี่ยม ที่ไม่ควรพลาดการชมในโรงภาพยนตร์
(ให้ 9.5 คะแนนจากเต็ม 10 คะแนน)